top of page

Search Results

พบ 134 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา

  • Café ยี่สิบสี่ชั่วโมง ใกล้จุฬาฯ เอาใจนิสิตช่วงMidterm Crisis

    ตอนนี้น้องๆ นิสิต จุฬากำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือก่อนสอบ มิดเทอมใช่ไหม ซึ่งเชื่อว่าหลายๆคนจะมองการสอบมิดเทอม เปรียบเหมือน Midterm Crisis และหลายๆคนก็อาจจะหาที่อ่านหนังสือ ในหอกลาง จามเก้า หรือตามหอตัวเอง น้องหลายคน อาจจะจำเจ กับที่อ่านหนังสือ อยากได้สถานที่ใหม่ๆเพื่อมาเติมพลังในการอ่านหนังสือสอบของตนเอง วันนี้ Haupcar คารแชรริ่ง จองรถแค่ผ่านแอปพลิเคชั่น ใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีคาเฟ่ เปิด 24 ชั่วโมง ให้น้องๆนิสิต อ่านหนังสือ ฟาดเอ ไปเลยยย ที่แรก Too fast to sleep สามย่าน ที่เป็นคาเฟ่ อ่านหนังสือได้ตลอด 24 ชั่วโมง อยู่ใกล้กลับสถานที MRT สามย่าน โดยการตกแต่งร้านเรียบง่าย สร้างความผ่อนคลายในการอ่านหนังสือ หรือ การทำงานอย่างมาก และมีเมนูอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มที่หลากหลาย ช่วยเติมพลังในช่วง Midterm Crisis อย่างมากครับ นอกจากนี้ Too fast ยังมีบริการ WiFi ตอบสนองความต้องการแม้ไม่ใช่ช่วงสอบ แต่รวมไปถึงช่วงปั่นงานด้วยนะ ร้านที่สอง เป็นร้านหนึ่งที่อยากเอาใจแก่นิสิต ทุกคนก็คือร้าน Growth Café & Co เวลาเปิดปิด เก้าโมงเช้า ถึงเที่ยงคืน แต่แน่นอนอนาคตจะมีแพลนการเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งร้านตั้งอยู่บริเวณ สยามแสควร์ ซอยสอง ทางร้านตกแต่งเน้นโทนสีขาว สร้างความผ่อนคลายจากความเครียดในการอ่านหนังสือสอบ ของน้องๆนิสิตได้ดีเลยครับ นอกจากนี้ ยังมีเมนูอาหารทั้งหวาน และคาวที่อร่อย เช่น Hippo Milk และ สปาเก็ตตี้ครีมซอสลาวา เป็นต้น มาถึงร้านสุดท้ายกันละครับ ร้าน Let's Say Cafe อยู่บริเวณ ไกลจากจุฬาฯ นิดหน่อยแต่การเดินทางแสนสะดวก โดยร้านตั้งอยู่บริเวณราชเทวี ซอยสาม ไม่ไกลจาก BTS อนุสาวรีย์ชัย เป็นร้านที่เงียบสงบ เหมาะแก่การอ่านหนังสือ เพราะอยู่ในซอยครับ และนอกจากนี้การตกแต่งบรรยากาศของร้านที่ผ่อนคลาย และมีทั้งของหวาน ของคาวที่หลากหลาย ตอบสนอบการเตรียมความพร้อมกับมิดเทอมไครซิสของน้องๆนิสิตแน่นอน สุดท้ายนี้ร้านคาเฟ่ปัจจุบันมีการเอาใจกลุ่มนักศึกษาอย่างมากในการมีสถานที่อ่านหนังสือก่อนสอบ 24 ชั่วโมง Haupcar เองก็มีการเอาใจกลุ่มคนทุกคนเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบายง่ายๆเพียงแค่สมัคร และจองรถผ่านแอพพลิเคชั่น ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้งานได้ทันที ถ้าหลังจากสอบเสร็จละอยากจะแชร์รถกับเพื่อนไปเที่ยว อย่าลืมใช้คารแชร์ริ่ง บริการดีๆจาก Haupcar ด้วยน๊า ที่มา http://static.tlcdn1.com/ http://www.thailovetrip.com/restaurants/photo2/162.jpg http://bk.asia-city.com/restaurants/bangkok-restaurant-reviews/growth-cafe-co http://www.wearegreeners.com/public/uploads/news/post/91dce850b2a5019ee15a251c64605a11.jpg http://www.wearegreeners.com/public/uploads/news/post/91dce850b2a5019ee15a251c64605a11.jpg https://www.facebook.com/LetsSayCafe/ #cafe #24hours #haupcar #reading #chula

  • 5 ที่เตรียมอ่านหนังสือสอบ ใกล้ธรรมศาสตร์รังสิต

    น้องๆหลายคนในธรรมศาสตร์ รังสิต กำลังจะถึงช่วงสอบ มิดเทอมกันแล้ว วันนี้ ฮ้อบคาร์ อยากเอาใจน้องๆแนะนำสถานที่อ่านหนังสือสำหรับการสอบ มิดเทอม ที่จะมาถึงนี้ นอกเหนือจาก หอป๋วย หอแพทย์ สตาบัคป๋วย หรือในหอของน้องๆ โดย ฮ้อบคาร์ เองมีสถานที่อ่านหนังสือนอกมอน่าสนใจหลายที่แต่ขอแนะนำคราวๆละกันครับ ว่ามีที่ไหนบ้าง ที่แรก สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย AIT ซึ่งเป็นมหาลัยเพื่อนบ้านของน้องๆแต่ก็มีสถานที่อ่านหนังสือสำหรับมิดเทอมนี้ที่น่าสนใจ นั้นคือ หอสมุดไอเอที ซึ่งมีนักศึกษาต่างชาติ และเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือมิดเทอมมากๆครับ ที่สอง ร้านกาแฟหอมกรุ่น สาขาเอไอที นอกจากหอสมุดเอไอทีแล้วฮ้อบคาร์อยากแนะนำอีกทีที่เหมาะกับการอ่านหนังสือในเอไอทีครับ นั้นคือ ร้านกาแฟหอมกรุ่น สาขาเอไอที ที่มีบรรยากาศเงียบ หอมกลิ่นกาแฟ สร้างบรรยากาศในการอ่านหนังสือได้ดีทีเดียว ส่วนราคาของค่ากาแฟอยู่ที่ประมาณ40-60บาทครับ ที่สาม หอสมุดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เนื่องจากบรรยากาศที่เงียบสงบ สถานที่น่าอ่านด้วยห้องสมุดที่ทันสมัยและไม่ไกลจากธรรมศาสตร์รังสิตครับ หอสมุดม,กรุงเทพตั้งอยู่ที่อาคารสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ โดยหอสมุดม.กรุงเทพเปิดให้ผู้สนใจอ่านหนังสือสามารถเข้ามาได้ครับโดยเวลาเปิด ปิดของหอสมุดม.กรุงเทพ คือ 7 โมงเช้าถึง 6โมงเย็น ปิดให้บริการวันอาทิตย์ และไม่เสียค่าใช้จ่ายๆใดๆ เพียงแค่พกบัตรนักศึกษา หรือบัตรประชาชนมา ครับ ที่สี่ Starbucks@Automall สตาบัค ก็เป็นร้านยอดฮิตสำหรับเด็กมหาลัยในการหนังสือเหมือนกันครับวันนี้ ฮอบคาร์ มีสตาบัคแนะนำให้แก่น้องๆที่ธรรมศาสตร์ 2 สาขานะครับที่น่านั่งและไม่ไกลก็คือ ที่แรก ตรง Automall บริเวรนวนคร ขับรถจากธรรมสาสตร์ รังสิต ประมาณ ห้านาทีเองครับ ที่ห้า Starbucks@วังน้อย ส่วนอีกสาขาหนึ่งที่แนะนำคือสตาบัค วังน้อยซึ่งมีหลายๆคนแนะนำสาขานี้เพราะการออกแบบตัวตึกสตาบัควังน้อยที่แปลกตา และเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือมากๆครับ สตาบัควังน้อนนั้นสถานที่ที่อ่านหนังสือน่าอ่านไม่แพ้ที่แรกที่แนะนำ ส่วนการเปิดปิดอยู่ที่ 6 โมงครึงถึง 4 ทุ่มครับ ส่วนการเดินทางจาก ธรรมศาสตร์ รังสิต ประมาณ 15 นาทีครับ ฮั้นแน่ ทุกที่ล้วนน่าสนใจสำหรับอ่านหนังสือมิดเทอมของน้องๆกันใช้ไหมครับ ยิ่งใกล้ช่วงสอบมิดเทอมน้องๆหลายๆคนต้องหาที่อ่านหนังสือเงียบๆกันสิครับ ถ้าอยากไปสถานที่ต่างๆอย่าลืมใช้ฮ้อปคาร์นะครับ ยิ่งไปติวกันหลายๆคนยิ่งได้แชร์เรื่องที่เรียนและยังประหยัดการเกิดทาง ละสะดวกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพียงจองฮ้อปคารผ่านแอปพลิเคชั่นครับ ที่มา http://library.bu.ac.th http://site.homkruncoffee.co.th/ https://www.wongnai.com/ http://www.starbucks.co.th/ https://pantip.com/topic/35479251 https://pantip.com/topic/34488452 http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/002803/lang/th/ #studying #reading #thammasat #rangsit

  • “ธุรกิจเช่ารถระยะสั้น” คาร์แชร์ริ่ง ตอบโจทย์คนไทยยุค 4.0

    ในปัจจุบันนี้การมีรถยนต์เป็นการสิ้นเปลืองของค่าใช้จ่าย เนื่องจากการใช้รถนั้นไม่ได้มีความจำเป็นเหมือนสมัยก่อน ในอนาคตการใช้รถจะยิ่งน้อยลงไป ทางฮ้อปคาร์เลยนำเสนอบริการมาตอบโจทย์คนไทยยุค 4.0 ขอบคุณสำนักข่าว TNN24

  • 5 APP ยอดฮิตที่ให้คุณฟังเพลงล่าสุดได้ไม่อั้น

    1. Spotify ล่าสุด Application ยักษ์ใหญ่อย่าง Spotify ที่โด่งดังทั่วโลกและกำลังมาเปิดตัวในประเทศเรานั้นมาดูกันว่าอีกไม่นานเกินรอจะมีอะไรมาให้ทางเราได้ใช้กัน จำนวนเพลง: 30 ล้านเพลง ราคา: ฟรี, จ่ายเงิน Features: personalize playlist มีการจัดอันดับเพลงมาให้ฟังกันทุกอาทิตย์ตามวิธีการฟังเพลงของลูกค้า Link: https://www.spotify.com 2. Deezer Application ฟังเพลงออนไลน์บนสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกหนึ่งตัวในบ้านเราเลยก็ว่าได้ เนื่องจากตัวแอพฯ สามารถให้คุณฟังเพลงที่ต้องการได้ทุกที่ทุกเวลาและไม่มีข้อจำกัด ซึ่งภายในตัวแอพฯ มีคลังเพลงมากกว่า 35 ล้านเพลง และอัพเดทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดทั้งเพลงไทยและต่างประเทศ จำนวนเพลง: 35 ล้านเพลง ราคา: ฟรี, จ่ายเงิน Features: สร้าง playlist สุดโปรดของตัวเองได้ Link: https://www.deezer.com 3. Joox Joox Application สาย Asian ที่ได้เข้ามาเปิดตลาดไทยเป็นเจ้าแรก ถือได้ว่าเป็นApp ที่มีเพลงไทยเยอะมากโดยหลักๆมีจุดเด่นอยู่ที่มีไฟล์แพลงขนาดเล็ก ทำให้โหลดได้ไว และกินเน็ตน้อย สามารถโหลดมาเก็บไว้ในเครื่อง ฟังได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็ทำได้ บางเพลงที่คุณโหลดมาอาจจะต้องมีการเสียค่าใช้จ่าย จำนวนเพลง: 3.5 ล้านเพลง ราคา: ฟรี, จ่ายเงิน Features: 3 months VIP membership Link: http://www.joox.co.th/ 4. TrueID Music TrueID Music เป็น app น้องใหม่ที่ให้คุณฟังเพลงได้ทั้งแบบออนไลน์ หรือจะดาวน์โหลดแบบออฟไลน์ จำนวนเพลง: NA ราคา: ฟรี, จ่ายเงิน Features: personal playlist Link Andriod: https://play.google.com/store/apps/details?id=com.tdp.truemusic&hl=en Link iOS: https://itunes.apple.com/th/app/trueid-music/id1008655193?mt=8 5. Line TV - Line Music Thai ฟังเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่งในประเทศไทยจาก LINE สำหรับ Android และ iOS โดยภายในตัวแอพฯ มีทั้งเพลงไทยและต่างประเทศมากมายหลายค่ายให้เลือกฟังได้ตามต้องการไม่ว่าจะเป็น RS, BEC-Tero Music, Spicydisc, What The Duck ฯลฯ ตั้งแต่เพลงเก่าจนถึงเพลงใหม่ล่าสุด ซึ่ง LINE MUSIC THAI นั้น มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 60 บาทต่อเดือน สำหรับสมาชิกใหม่ที่ยังไม่เคยใช้บริการมาก่อนสามารถฟังเพลงออนไลน์ได้ฟรี 30 วันไม่เพียงเท่านี้ LINE MUSIC THAI จำนวนเพลง: NA ราคา: ฟรี Features: แบ่งปันเพลงเพราะ ๆ ของคุณให้เพื่อนใน LINE ฟังได้ทั้งในห้องสนทนาส่วนตัว, แบบกลุ่ม และในหน้า Timeline Link: https://tv.line.me/

  • 3 ร้านคาเฟ่สุดชิค ในย่านกรุงเทพฯ

    1. Roast (โรสต์) ร้านโรสต์เป็นหนึ่งในร้านคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงมากในคอมมิวนิตี้มอลล์ The Commons และมี signature drink เป็น iced espresso latte และ affagato นอกจากนี้ทางร้านยังมีรายการอาหาร brunch อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น egg benedicts, American pancakes และ French toast เห็นอย่างงี้แล้วร้านนี้ก็มีลูกค้าเยอะมากเช่นกัน เวลาในการเดินทางทางเราแนะนำให้ไปถึงก่อน 11 โมงเช้า สถานที่: ทองหล่อและEmquartier อ่านเพิ่มเติม: http://www.roastbkk.com/ 2. Bar Storia Del Café (บาร์ สตอเรีย เดล คาเฟ่) สำหรับคนที่ชอบทาน breakfast ร้านนี้มีให้ทานทั้งวัน เมนูอาหารจะมีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น steak&egg, toasted Welsh rarebit และ salmon quinoa saladด และอีกอย่างที่ไม่ควรจะพลาดคือเมนูเค้กต่างๆที่ทางร้านมีชื่ออย่างเช่น warm rum chocolate brownie with cream ร้านนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนัดพบปะพูดคุยกับเพื่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สถานที่: ทองหล่อ อ่านเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/barstoriadelcaffe/ ที่มาของภาพ: wheretobrunchbkk 3. Café Now นับว่าเป็นหนึ่งในร้านคาเฟ่ที่ hip มากๆที่อยู่ในย่าน Town in Town สำหรับในเมล็ดพันธ์กาแฟในร้านนี้ ทางร้านได้นำเมล็ดเกรดพรีเมี่ยมจากเชียงใหม่มาใช้ในการทำกาแฟอย่างเช่น Brave Roasters, Roots, และ Ristr8to ในส่วนของเมนู signature ของร้านนี้นั้น ทางเราแนะนำเป็น Ginger latte สถานที่: Town in Town อ่านเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/cafenowbypropaganda/

  • asap GO powered by Haup บริการรถยนต์ให้เช่ารูปแบบใหม่สำหรับลูกค้าองค์กร ภายใต้แนวคิด car sharing

    นายทรงวิทย์ ฐิติปุญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสาวปริญดา วงศ์วิทวัส กรรมการ นายชัยรัตน์ กมลนรเทพ กรรมการผู้จัดการ นางสาวพิชชาภัสร์ ฐิติปุญญา ผู้จัดการโครงการ asap GO บริษัท ซินเนอร์ เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ asap และนายกฤษฎิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง Haup ร่วมเปิดตัว ‘asap GO’ บริการรถยนต์ให้เช่ารูปแบบใหม่สำหรับลูกค้าองค์กร ภายใต้แนวคิด car sharing โดยสามารถดาวน์โหลด asap GO ผ่านแอพพลิเคชั่น Haup car เพื่อเข้าใช้บริการ คิดค่าเช่าตามการใช้งานจริง (Pay per use) โดยเริ่มต้นที่ 50 บาทจากนั้นคิดค่าเช่าตามระยะทางและเวลาที่ใช้บริการ ซึ่งในช่วงแรกมีรถยนต์จอดให้บริการที่อาคารคอลัมน์ทาวเวอร์, อินเตอร์เชนจ์, ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์, จัสมิน อโศก, เมโทรโพรลิส สุขุมวิท 39 และ 42 ทาวเวอร์ ก่อนขยายให้ครบ 30 อาคารภายในสิ้นปีนี้ ที่มา: http://www.thansettakij.com/content/181852 #carondemand #carsharing

  • เปิดตัวเครือข่ายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า EV สาธารณะ

    นวัตกรรมการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของประเทศไทย ร่วมด้วยกลุ่มพันธมิตรผู้ร่วมริเริ่มการปฏิวัติวงการเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมด้วยบริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด Greenlots เซ็นทรัลกรุ๊ป และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งประวัติการณ์ เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการรับรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทย ข้อตกลงดังกล่าวนำไปสู่การเปิดตัว ChargeNow เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใดหรือรุ่นใด ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า 50 สถานีทั่วประเทศ ในระยะแรกของการเตรียมวางเครือข่าย “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยึดมั่นต่อความยั่งยืนในทุกตลาดที่เราดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการนำเสนอบริการ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า การเปิดตัว ChargeNow ในประเทศไทย คืออีกก้าวอันสำคัญยิ่งของการดำเนินภารกิจตามวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตอันยั่งยืนอย่างแท้จริง ด้วยการนำเสนอบริการที่อำนวยความสะดวกและทำให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เรามุ่งหวังที่จะจุดประกายความสนใจในยานยนต์แห่งอนาคตในหมู่ผู้ใช้งานชาวไทย โดยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับชาติผ่านนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไปพร้อม ๆ กัน” มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว ด้านที่อยู่อาศัยนั้น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองที่นำเสนอโครงการที่อยู่อาศัยอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ซึ่งทุกโครงการล้วนตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบาย ใกล้ย่านธุรกิจที่สำคัญที่พร้อมจับมือเป็นพันธมิตรผู้ริเริ่มโครงการ ChargeNow ครั้งนี้ คุณวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เป็นเวลา 25 ปีแล้วที่เป้าหมายสูงสุดของเอพี ไทยแลนด์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับคนเมือง เรามุ่งมั่นที่จะส ร้างที่อยู่พักอาศัยซึ่งตอบทุกมิติของการใช้ชีวิตอันทันสมัย เราเปิดรับทุกไอเดียใหม่ๆ โซลูชั่นในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงการใช้พื้นที่ต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้น โครงการ ChargeNow จึงเป็นมุมใหม่ของการใช้ชีวิตอันทันสมัยในสังคมของยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างแท้จริง เรายินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรผู้ริเริ่มโครงการ ChargeNow เพื่อนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้” ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/767129

  • Carsharing|Ridesharing เหมือนหรือต่างกันยังไง?

    ชุมชนแชร์ริ่ง (Sharing Community): คาร์แชร์ (Carsharing), ไรด์แชร์ริ่ง(Ridesharing) เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ในสมัยนี้ Sharing Community กำลังเป็นที่นิยม ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ Sharing Community กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในโลกฝั่งตะวันตก หรือเพราะ Sharing Community เป็นทางออกในอนาคตของมนุษย์ชาติที่จำนวนประชากรเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่ที่จำกัด สิ่งที่มาพร้อมๆกับเทรนด์นี้ อย่างหนึ่งที่น่าสับสนคือ เหล่าคำใหม่ๆ ที่ใช้เรียกหรือบรรยายลักษณะของการบริการที่เกี่ยวกับการแชร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Carsharing, Ridesharing, Carpooling เป็นต้น เพราะฉะนั้นบทความนึ้จึงเขียนถึงความหมายของคำเหล่านี้สักหน่อย เผื่อที่ต่อไปพูดถึงจะได้เข้าใจตรงกัน หรือไม่เรียกผิดๆถูกๆ จะใช้คาร์แชร์แต่ดันไปเรียกคาร์พูลเสียอย่างนั้น เริ่มกันที่ Carsharing สำหรับ carsharing ความหมายคือ การที่มีรถจอดอยู่สถานที่ที่มีคนอยู่เยอะ มีความต้องการใช้รถมาก แต่ไม่สามารถมีรถเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่ไม่มีที่จอด หรือปัญหาทางการเงินไม่สามารถซื้อรถได้ก็ตาม แล้วคนเหล่านั้นมาใช้รถคันเดียวกันนั้น เหมือนเป็นเจ้าของรถร่วมกัน หรือก็คือการแชร์รถคันเดียวกันนั้นใช้นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ทิมเป็นนักศึกษาเรียนแฟชั่นดีไซน์ และทิมไม่มีรถเป็นของตัวเอง แต่ทิมจะมีบางครั้ง หรือบางวันที่จะต้องมีการไปซื้อผ้าตามร้านต่างๆ ในเมือง หรืออาจจะต้องมีการขนหุ่นลองชุด หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัย ทิมเห็นรถของฮ้อปคาร์ที่จอดอยู่ใต้หอฯ จึงได้สมัครสมาชิกกับฮ้อปคาร์เพื่อที่สามารถใช้คาร์แชร์ริ่งที่มีจอดอยู่ทีหอพักของทิม เพื่อใช้ขนของหรือขับด้วยตัวเองไปซื้อผ้าที่ต้องใช้ เมื่อเสร็จธุระ ก็นำรถไปคืนที่เดิม เพื่อให้คนที่อยู่หอเดียวกันนั้นใช้ต่อได้ ตัวอย่างของคาร์แชร์ริ่งที่ให้บริการในบ้านเราก็คือ Haupcar หรือ Car2Go ในต่างประเทศ ต่อมาคือ Carpooling ความหมายของ carpooling คือการที่คนคนหนึ่งใช้รถคันเดียวนั้น ไปยังจุดหมายของตัวเอง แต่มีการให้คนที่ต้องการไปเส้นทางเดียวกันที่มีจุดหมายเป็นสถานที่ที่อยู่ระหว่างทางจากจุดเริ่มต้นไปจุดหมายของคนขับรถคันดังกล่าว สามารถเป็นไปได้ทั้งมีและไม่มีค่าใช้จ่ายก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบ้านที่ที่ทำงานอยู่ระหว่างทาง แล้วอาศัยรถใช้รถคันเดียวกันไปกับเราซึ่งเป็นเจ้าของรถ หรือเราติดรถเพื่อนบ้านที่ทำงานใกล้ๆกันไปด้วยกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือเพียงเพื่อแสดงน้ำใจต่อเพื่อนๆของเราเอง ตัวอย่างในบ้านเราที่ให้บริการแล้วเช่น Liluna, Grab-Pool, Uber-Pool เป็นต้น สุดท้ายคือ Ridesharing หรือ ridesharing รูปแบบนี้จะเป็นลักษณะของรถหลายๆคันที่มีเจ้าของเป็นบริษัทหรือองค์กรเดียว หรืออาจะเป็นรถคันเดียวของบุคคลทั่วไป มักเป็นการใช้เดินทางภายในเมือง เพื่อไปยังจุดหมายเดียว โดยมีคนขับอาจจะเป็นลูกจ้างของบริษัทที่เป็นเจ้าของรถ หรือเจ้าของรถเองนั้นขับเพื่อนำคนอื่นไปส่งจุดหมายเพื่อหารายได้ ยกตัวอย่างเช่น นกพนักงานบริษัทก. ต้องไปประชุมที่ บริษัทข. นกจึงเดินออกไปหน้าออฟฟิศ หาโบกรถของบริษัทที่ทำ Ridesharing แล้วจ้างให้รถคันนั้นๆ ขับรถไปส่งนกที่บริษัท ข. โดยนกก็จ่ายเงินให้ตามระยะทางนี่นกนั่งมาในรถคันนั้น หรือสรุปง่ายๆก็คือบริการ Taxi บ้านเรานั่นเอง ส่วนที่ให้บริการแล้วจะมี Uber, Grab เป็นต้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกๆคนสับสนน้อยลงบ้าง เกี่ยวกับเหล่าคำต่างๆ ที่พากันเกิดขึ้นมาในช่วงนี้เพื่อบรรยายลักษณะของการให้บริการใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันในสังคมแห่งการแบ่งปันที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงนี้ ที่มาของรูป: http://www.cooneyconway.com/risks-and-rewards-of-ridesharing

  • ใครว่าหน้าฝนเที่ยวทะเลไม่ได้ เที่ยวเกาะเสม็ดหน้าฝน powered by Haup

    ใครว่าหน้าฝนเที่ยวทะเลไม่ได้ ช่วงหน้าฝนพรำๆแบบนี้นอนอยู่บ้านเฉยๆคงเบื่อแย่ วันนี้ฮ้อปคาร์จะพาทุกคนไปนอนชิวๆริมหาดที่เกาะเสม็ดกันค่ะ พร้อมแล้วไปกันเลย #Haup trip to Samed Island การเดินทาง วันนี้เราเช่า Mazda 2 จากThe Porch ABAC ขับมาเพียงชั่วโมงครึ่งก็ถึงท่าเรือบ้านเพ พร้อมข้ามไปเกาะเสม็ดแล้วค่ะ เรือโดยสารข้ามเกาะราคาคนละ50บาท เพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะเสม็ดแล้วจ้า พอมาถึงที่เกาะ พวกเราขับมอเตอร์ไซค์เลี้ยวขวาจากท่าเรือมาประมาณสิบนาที ที่นี่เค้ามีที่นั่งตาข่ายไว้ถ่ายรูปชิคๆเก๋ๆกัน พวกเราก็เข้าพักที่ Bar and Bed ค่ะ สำหรับแดดช่วงที่เราไปนั้นกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป ถ่ายรูปได้ฟีลแบบไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์กันเลยค่า กิจกรรม ณ เกาะเสม็ด ด้วยความที่ทริปนี้เรามากันเพื่อพักผ่อนจริงๆเราเลยไม่ได้ไปทำกิจกรรมอะไร เน้นกินกับนอน 5555555 พอตกเย็นเราก็มาเดินกันเล่นที่หาดทรายแก้วค่ะ แถวนี้มีร้านซีฟู้ดสดๆริมหาดให้เลือกสรรค์มากมายค่ะ โชว์กระบองไฟ พอพลบค่ำหน่อยช่วงสองทุ่มครึ่งจะมีการแสดงโชว์กระบองไฟที่หาดทรายแก้วเช่นกันค่ะ นักท่องเที่ยวแห่กันมาดูเยอะมาก ตื่นตาตื่นใจแต่ก็กลัวว่าไฟจะกระเด็นมาโดนตัวอยู่นิดๆเหมือนกัน To be continued... รู้อย่างงี้แล้วทางเราอยากพาไปเที่ยวทะแลอีกหลายที่เลยค่ะ ท่านใดอยากให้ทางเราพาไปเที่ยวที่ไหนอีกสามารถ comment ได้แล้วทางฮ้อปคาร์จะมาเก็บไว้ใน list สำหรับ Haup trip ในครั้งหน้าเลยนะค้า Powered by Haup #travel

  • คาร์แชริ่ง เซฟพลังงาน เซฟโลก โมเดล ‘haup’

    คนไทยเราจำเป็นต้องใช้รถกันตลอดเวลาไหม? .. คงไม่ใช่ ดังนั้น “คาร์แชริ่ง” น่าจะเป็นทางเลือกที่ลงตัว ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ใครหลายๆคนไม่จำเป็นต้องซื้อรถ ทั้งเป็นการเซฟพลังงานและช่วยโลกลดมลพิษได้อีกด้วย จากไอเดียนี้ ธนวัฒน์ (เปอร์) และ กฤษฏิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ (โบ้) สองพี่น้องเลยตัดสินใจพัฒนาแพลตฟอร์มคาร์แชริ่งที่ชื่อว่า “haup” (ฮ้อปคาร์) แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะคาร์แชริ่งมีบริการทั่วไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว พวกเขาทั้งสองคนซึ่งเดินทางไปร่ำเรียนที่ประเทศอเมริกาตั้งแต่ยังเด็กก็ได้เห็นและเคยทดลองใช้มาก่อน ตรงกันข้ามที่ประเทศไทย นั้นธุรกิจรูปแบบนี้ยังไปได้ไม่ถึงไหน พวกเขาตกลงใจเปิดตัวฮ้อปคาร์ในเดือนสิงหาคมปี 2559 เพราะเชื่อว่าเป็นจังหวะเวลาที่ดี เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลไทยเร่งการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าหลายสายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนซื้อรถส่วนตัวน้อยลง และคาร์แชริ่งก็จะมาเติมเต็มความต้องการในการเดินทางได้เป็นอย่างดี "ความเป็นจริง ธุรกิจของเราก็ยังอยากให้คนใช้รถอยู่ แต่ให้มาแบ่งกันใช้ โดยเราจะมีรถอยู่ในระบบที่ให้คนสามารถเข้ามาแชร์ มาแบ่งกันใช้ได้ เราต้องมีรถที่ดี มีบริการที่ดีให้กับลูกค้า เหมือนเป็นการสร้างคลับหรือคอมมูนิตี้หนึ่งขึ้นมาเพื่อให้คนมาแบ่งรถกันใช้ โดยต้องทำให้คนเข้าถึงบริการได้ง่าย มอบประสบการณ์ที่ดีๆให้เขา เพื่อที่จะทำให้รถบนท้องถนนมันหายไปบ้าง" และต้องบอกว่ารถที่ให้บริการทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน 10 คันล้วนเป็นของฮ้อปคาร์ทั้งสิ้น และทั้งหมดเป็น “อีโคคาร์” เพื่อให้สอดคล้องกับความตั้งใจที่อยากมุ่งเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน แถมอีโคคาร์ก็ยังเป็นรถที่อยู่ในความสนใจของลูกค้าอีกด้วย เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงเริ่มต้นจะมีอยู่สามกลุ่ม ก็คือ 1.นักศึกษามหาวิทยาลัย 2.กลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบ กำลังจะเริ่มทำงาน 3. ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่หรือทำงานในเมืองไทย เริ่มจาก “บีทูซี” และในหมายเหตุจะโฟกัสกลุ่มนักศึกษาเป็นพิเศษ จากนั้นจะขยับไปสู่กลุ่มลูกค้าธุรกิจหรือ “บีทูบี” "เราเริ่มเปิดบริการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตเป็นแห่งแรก เพราะส่วนตัวพวกเราก็เคยผ่านชีวิตตรงจุดนั้นมาก่อน รู้ว่าเด็กพอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็อยากมีรถ เพราะการเดินทางลำบาก แต่พ่อแม่ก็อาจบอกว่าเดี๋ยวก่อนไม่ยอมซื้อให้ และที่มาเริ่มต้นที่เด็กก็เพราะเราอยากจะปลูกฝังพวกเขาว่าการซื้อรถนั้นไม่จำเป็น เพราะคาร์แชริ่งช่วยทำให้เขามีรถขับได้" จากที่เปิดบริการมาเป็นเวลา 5-6 เดือน ปัจจุบัน ฮ้อปคาร์มีสมาชิกอยู่กว่า 300คน และชั่วโมงการใช้บริการของสมาชิกโดยเฉพาะเด็กมหาวิทยาลัยนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า ซึ่งเป็นการพิสูจน์สมมุติฐานความเป็นไปได้ที่ชัดขึ้น "พวกเรายังอยู่ในจุดเริ่ม อย่างน้อยเราต้องทำให้ครบปีถึงจะมีข้อมูลการใช้งานที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยก็มีบางช่วงที่เปิดเทอม ปิดเทอมด้วย เรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาว่า ลูกค้ามาใช้บริการเป็นเพราะอะไร รวมถึงต้องหาทางปิดแก็บ โดยพยายามพูดคุยกับลูกค้าที่เป็นสมาชิกในเรื่องของการใช้งานอยู่เรื่อยๆ คอยถามเขาว่าทำไมถึงใช้งานช่วงนี้ ไม่ใช้ช่วงนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร" ที่พวกเขาพยายามเรียนรู้อย่างมากในเวลานี้เป็นเรื่องของกลยุทธ์การเลือกโลเคชั่น ซึ่งต้องมีการทดลองและอาศัยระยะเวลา คือถ้าหากเวิร์คก็ทำต่อ แต่ถ้าไม่ก็จะหยุดทำ ที่เทสต์ไปแล้วและผ่านฉลุยก็คือ ทำเลที่เป็นมหาวิทยาลัย ซึ่งนำมาซึ่งแผนที่ว่าฮ้อปคาร์จะขยายไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ชานเมืองมากยิ่งขึ้น (นอกจากธรรมศาสตร์ รังสิต ยังเปิดบริการแล้วที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) "แต่เราก็คาดการณ์ผิดไปบ้างคือคิดว่าเด็กมหาวิทยาลัยน่าจะมาใช้บริการเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่เขาไม่มีรถ แต่ที่ได้พบก็คือ เด็กไม่มีเงิน เขาได้เงินจากพ่อแม่เป็นรายเดือน ทำให้เวลาใช้บริการแต่ละทีเขาจะมากันเป็นกลุ่มอย่างน้อยก็ 3 คนเพื่อแชร์ค่าใช้จ่ายกัน ทำให้เราต้องกลับมาคิดค่าบริการใหม่เพื่อให้แฟร์กับพวกเขา เรื่องราคาเราคงจะปรับไปเรื่อยๆ แต่คงไม่บ่อยมากเดี๋ยวสมาชิกเราจะงง" ยังมีปัญหาเหนือความคาดหมายอีกหลายเรื่อง เช่น การที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ชอบดูรายละเอียดการบริการด้วยตัวเอง ซึ่งมีอยู่ครบถ้วนบนออนไลน์ ทั้งในเว็บไซต์ หรือบนเฟสบุ๊ค แต่นิยมโทรศัพท์หรือไลน์มาถาม โดยปริยายพวกเขาทั้งสองคนก็ต้องทำหน้าที่เป็นคัสโตเมอร์เซอร์วิสคอยตอบคำถามด้วยตัวเอง “เอาเข้าจริงลูกค้าอยากคุยกับเรา พวกเราเลยต้องรับโทรศัพท์หรือตอบไลน์กันเอง แต่เราก็อยากทำเพราะต้องการคอนแท็กกับลูกค้า มันเป็นการสร้างความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าให้กับเรา เพื่อที่จะนำเอาไปพัฒนาต่อ” ลูกค้ามักจะถามข้อมูลเกี่ยวกับอะไร? พวกเขาบอกว่าที่ถูกถามเยอะที่สุดก็คือ ราคาและวิธีการใช้รถ แต่มีลูกค้าบางคนที่ไม่คุ้นชินกับการใช้แอพและอยากรู้วิธีซึ่งพอทำได้แล้วครั้งต่อไปเขาก็จะไม่ถามอีก "แต่มีเรื่องเพย์เมนท์ ที่เรามองว่าแปลกมาก เพราะคิดมาตลอดว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะชินกับการจ่ายเงินออนไลน์ แต่ปรากฏว่าเด็กจ่ายเป็นเงินสด ซึ่งสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาพวกผมแทบไม่ถือเงินสดเลยในกระเป๋ามีแต่บัตร แต่พอมาเมืองไทยเราใช้บัตรได้ยากมาก ร้านต่างๆมักจะรับแต่เงินสด มันเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของเรา แต่ถ้าเรามีการสอนลูกค้าทำในครั้งแรกได้ครั้งต่อไปก็จะไม่มีปัญหา แต่ลูกค้าก็อาจกังวลว่าถ้าเขาเอาบัตรเครดิตมาผูกกับระบบเราแล้วจะเซฟไหม เราก็ต้องทำให้เขามั่นใจด้วยการใช้ระบบของโอมิเซะ (Omise)" อย่างไรก็ดี แม้จะมั่นใจโลเคชั่นมหาวิทยาลัย แต่พวกเขาก็ยอมรับว่ายังไม่ชัวร์กับทำเลที่ต้องการจะตอบโจทย์ลูกค้าวัยเริ่มทำงานรวมถึงคนต่างชาติ ที่เป็นจุดจอดในอาคารสำนักงาน รวมถึงคอนโดมีเนียมที่ตั้งอยู่กลางเมืองบริเวณซอยอารีย์, สี่แยกอโศก,ถนนสาทร ,ถนนสีลมและแถวสะพานกรุงธนฯ จำนวน 5 จุด และน่าจะต้องอาศัยเวลาอีกสามถึงสี่เดือนเพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเวิร์คหรือไม่อย่างไร เพื่อกำหนดกลยุทธ์ให้แน่ชัดว่าควรจะทำต่อกับตลาดนี้ดีหรือไม่ นอกจากนี้ยังมองในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะช่วยประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่แน่ว่า นอกจากอีโคคาร์แล้ว ในอนาคตอันใกล้ฮ้อปคาร์ก็อาจนำเอารถไฟฟ้ามาให้บริการด้วยก็เป็นได้ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้เข้าร่วมในโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบคาร์แชริ่งสำหรับประเทศไทยในอนาคต (Electric car sharing) ร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ชไนเดอร์อีเล็คทริค (ไทยแลนด์) "เราถือว่าเป็นรายแรกที่ทำคาร์แชริ่งในเมืองไทย ตอนนี้เราจึงพยายามจะเช็ทสแตนดาร์ดขึ้นมาก่อน แต่พวกเราเองเคยมีประสบการณ์ใช้บริการคาร์แชริ่งมาก่อน และได้ไปศึกษาอีกหลายๆแห่งว่าเขาทำกันอย่างไร จึงสามารถลดปริมาณรถลงได้ ที่เมืองนอกเขาพรูฟได้ว่ารถคาร์แชริ่งหนึ่งคันสามารถลดจำนวนรถในถนนลงได้ถึง 8-30 คัน ขึ้นอยู่กับสเกลของแต่ละเมือง ซึ่งเป็นอะไรที่เราอยากพรูฟและทำได้แบบเขาเหมือนกัน" แน่นอนว่าต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุด แต่ก็มีความมั่นใจว่ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำได้ดีก็คือ ที่ผ่านมาเมื่อได้เรียนรู้ว่าลูกค้ามีความต้องการอะไร พวกเขาพร้อมและปรับเปลี่ยนได้เร็ว เรียกว่าพร้อมจะเทคแอคชั่นทันที ชีวิตดี๊ดีของคนไม่มีรถ วันนี้คุณอยากไปไหน ไปดูหนัง รับเพื่อน ไปดูคอนเสิร์ต เที่ยวเดย์ทริป ไปเดทกับแฟน ไปประชุม ซื้อของซูเปอร์ฯ ไปนั่งร้านคาเฟ่เก๋ๆ ไปดูงานอาร์ต ไปหาหมอ ไปตลาดนัดสุดสัปดาห์ ไปทานมื้อดึกับเพื่อน หรือจะไปเตะบอล ฯลฯ ก็จะได้ไปแน่ๆด้วยรถของฮ้อปคาร์ คอนเซ็ปต์ของ “ฮ้อปคาร์” ก็คือให้ลูกค้าจ่ายเงินตามเวลาที่จองขับซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 30 นาที ไปจนถึง 1 วัน เป็นรายชั่วโมง เริ่มต้นเพียง 49 บาทต่อครึ่งชั่วโมง + 5.5 บาทต่อกิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรายวัน เริ่มต้นเพียง 1,300 บาท ฟรี 100 กิโลเมตรแรกและจ่ายตามระยะทางที่ขับ ซึ่งราคาที่คิดจะรวมทั้งค่าน้ำมัน ประกัน การดูแลรักษา และที่จอดรถ จะเดินทางพรุ่งนี้ หรือ ต้องการใช้ตอนนี้ ลูกค้าสามารถจองรถก่อนใช้งานเป็นเวลา 15 นาที และการเดินทางด้วยฮ้อปคาร์ทำได้ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. จองผ่านแอพ โดยเลือกจุดจอดที่อยู่ใกล้ และเลือกเวลาที่ต้องการใช้ และยืนยันการจอง 2.เข้ารถ ถึงเวลาเดินทาง เปิดปิดประตู ผ่านแอพ หรือใช้บัตรฮ้อปคาร์แตะไปที่รถ 3.ขับรถไปยังจุดหมายปลายทาง และนำรถกลับมาคืนตรงจุดจอดที่เดิม ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/735717

  • ฝรั่งเศสมีมาตรการสั่งหยุดการใช้รถน้ำมันภายในปี 2040

    เนื่องจากปัญหามลภาวะเรือนกระจกและปัญหาควันพิษที่เกิดจากการคมนาคมที่มากขึ้นทุกวัน ล่าสุดทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะยกเลิกการใช้รถน้ำมันภายในปีค.ศ. 2040 การประกาศในครั้งนี้ทางฝรั่งเศสเองเล็งเห็นว่าการยกเลิกใช้รถยนต์ประเภทน้ำมันนี้จะทำให้ประเทศเข้าใกล้ Paris Agreement มากขึ้น นอกจากประเทศฝรั่งเศสแล้วยังมีประเทศอื่นๆเช่น นอร์เวย์ที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ว่าจะยกเลิกรถน้ำมันภายในปีค.ศ.2025 และอินเดียภายในปีค.ศ.2030 ในส่วนของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างเช่น Volvo ก็ได้ประกาศว่าจะหยุดการผลิตรถยนต์น้ำมันในไม่ช้านี้เช่นกัน ที่มา: http://www.independent.co.uk/environment/france-petrol-diesel-ban-vehicles-cars-2040-a7826831.html

  • สตาร์ทอัพทดสอบการเดินทางรูปแบบใหม่ e-scooter ในสิงค์โปร์ เริ่มต้นเพียง 2.5 บาทต่อนาที

    กับประเทศสิงค์โปร์ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญที่สุดในแถบเอเซีย ล่าสุดได้เริ่ม launch project การเดินทางรูปแบบใหม่โดยใช้พาหนะที่เรียกว่า e-scooter ตัว e-scooter นี้พัฒนามาจาก startup ที่ชื่อว่า Floatility ซึ่งกำเนิดมาจากประเทศเยอรมนีซึ่งทาง CEO ของบริษัทนี้ได้กล่าวว่าเหตุผลที่มองว่าสิงค์โปร์เป็นประเทศที่เริ่มทำ pilot นี้ขึ้นเป็นเพราะว่าสิงค์โปร์เองนั้นเป็นประเทศที่ตั้งใจผลักดันการเดินทางในแบบ personal mobility device ให้เกิดขึ้นจริง สำหรับโปรเจคทาง Floatility เองได้นำเทคโนโลยีหลายอย่างเช่น battery swapping และ docking station หรือ geofencing มาใช้กับตัว e-scooter นี้เพื่อให้การใช้งานของลูกค้านั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย นอกจากนี้ทางบริษัทได้ใช้ solar เข้ามาช่วยในการชาร์จไฟแบตเตอรี่อีกด้วย เห็นอย่างงี้แล้วทางฮ้อปคาร์ก็อยากให้มาเปิดทดสอบในประเทศไทยบ้าง เผื่อจะเป็นทางออกของคนที่มีปัญหารถติดไปได้อีกทาง :D #urbanmobility #sharingmobility #คาร์แชร์ริ่ง

bottom of page