
“EV คันหนึ่ง ปล่อยมลพิษเท่ากับ Hybrid สามคัน” คำกล่าวจาก อากิโอะ โตโยดะ (Akio Toyoda) สะท้อนความจริง หรือแค่มุมมอง?
ในบทสัมภาษณ์ที่กลายเป็นไวรัลเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาของ อากิโอะ โตโยดะ (Akio Toyoda) ประธานบริษัท Toyota ได้ให้สัมภาษณ์กับ Automotive News ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า 9 ล้านคัน มีผลกระทบด้านคาร์บอนเทียบเท่ากับรถไฮบริด 27 ล้านคัน” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ EV 1 คัน = Hybrid 3 คันในแง่การปล่อยมลพิษ นั่นได้สร้างความฮือฮาและจุดประเด็นถกเถียงขึ้นมาอีกครั้งบนหน้าสื่อ
แต่เมื่อถอดรหัสจากคำพูดของเขาให้ชัดเจน สิ่งที่อากิโอะ โตโยดะ กล่าวดูจะอิงกับบริบทในญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่อง “แหล่งพลังงานไฟฟ้า” ที่ยังพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังความร้อน (ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่า หากไฟฟ้ามาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การชาร์จ EV ก็เท่ากับการโยนมลพิษจากท่อไอเสียไปสู่โรงไฟฟ้าแทน

"หนี้คาร์บอน" จุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิด
สิ่งที่มักถูกนำมาโต้แย้งเกี่ยวกับ EV คือ การปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขุดเจาะ, การกลั่น, และการแปรรูปวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่แรงดันสูง เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรน้ำมากและอาจก่อให้เกิดมลพิษได้
รถไฟฟ้า “สกปรกกว่า” ในวันแรก แต่สะอาดกว่าในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวเท่านั้น เมื่อ EV เริ่มออกวิ่งบนท้องถนน พวกมันก็เริ่ม "ชดใช้หนี้คาร์บอน" ของตัวเองทันที ในขณะที่รถไฮบริดและรถยนต์สันดาปจะสะสมการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน
งานวิจัยจาก Argonne National Laboratory ปี 2023 ระบุว่า EV สามารถชดเชยการปล่อยมลพิษจากการผลิตได้ในระยะทางประมาณ 19,500 ไมล์ (ประมาณ 31,381 กิโลเมตร) ซึ่งน้อยกว่าสองปีของการขับขี่โดยทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ขณะที่งานวิจัยในวารสาร Nature ระบุตัวเลขที่สูงกว่าเล็กน้อยคือประมาณ 28,000 ไมล์ (ประมาณ 45,061 กิโลเมตร) ไม่ว่าจะตัวเลขไหนก็ตาม เมื่อพิจารณาจากอายุการใช้งานรถยนต์โดยเฉลี่ย EV ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่สะอาดกว่าในระยะยาว

EV vs Hybrid: ใครสะอาดกว่ากัน ขึ้นอยู่กับ “ไฟ” ที่คุณใช้
ข้อโต้แย้งอีกประการที่มักถูกหยิบยกมาคือ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จ EV หากไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้งาน EV ก็อาจไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่อากิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัท Toyota กล่าวถึงโดยเฉพาะในบริบทของญี่ปุ่นที่ยังพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน
หากคุณชาร์จรถไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าที่พึ่งพาถ่านหิน (เช่น West Virginia หรือบางส่วนของญี่ปุ่น) มลพิษโดยรวมอาจใกล้เคียงกับไฮบริด แต่หากคุณอยู่ในรัฐอย่าง California ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนสูง EV จะปล่อย CO2 ต่อไมล์น้อยกว่าไฮบริดอย่างชัดเจน
และแม้แต่ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด คือการใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งที่สกปรกมาก รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงปล่อยมลพิษน้อยกว่าไฮบริดอย่างเห็นได้ชัด จากการคำนวณของ Department of Energy สหรัฐอเมริกา:
ตัวอย่างจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ชี้ว่า:
Tesla Model Y ที่ขับในรัฐ West Virginia (ซึ่งพึ่งพาถ่านหินเป็นหลัก) ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 149 กรัม CO2 ต่อไมล์
Toyota Prius Plug-In Hybrid ปล่อย 177 กรัม CO2 ต่อไมล์
และหากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งพลังงานสะอาดกว่า เช่น California, Tesla Model Y จะปล่อยเพียง 80 กรัม CO2 ต่อไมล์ ในขณะที่ Prius Plug-In Hybrid ปล่อย 130 กรัม CO2 ต่อไมล์ (และนี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการชาร์จแบตเตอรี่ของ PHEV ที่มักไม่สม่ำเสมอ)
ประสิทธิภาพพลังงาน: EV ชนะขาด
นอกจากเรื่องการผลิตและการใช้ไฟฟ้าแล้ว ยังมีปัจจัยด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานอีกด้วย ในแง่การใช้พลังงาน EV มีประสิทธิภาพสูงกว่ารถน้ำมันอย่างมาก:
รถสันดาปภายในแปลงพลังงานน้ำมันมาใช้งานได้แค่ 20–40%
รถไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปสู่ล้อได้มากกว่า 90%
นอกจากนี้ ในอนาคต การรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการขุดเจาะแร่ธาตุใหม่ๆ ได้อย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

Hybrid ไม่ใช่ศัตรู EV ไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ “EV คือเส้นทางสู่อนาคตที่สะอาดกว่า”
คำพูดของประธานโตโยต้าอาจสะท้อนมุมมองที่เน้นการลดมลพิษในบริบทของญี่ปุ่น ซึ่งระบบไฟฟ้ายังใช้พลังงานฟอสซิลอยู่มาก แต่เมื่อมองในระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น EV ยังเป็นตัวเลือกที่สะอาดกว่าในภาพรวม
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและงานวิจัยเชิงลึกทั้งหมด คำกล่าวของอากิโอะ โตโยดะ อาจหมายถึงการอ้างอิงข้อมูลชุดเฉพาะที่ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยทั้งหมด หรืออาจเน้นไปที่การผลิตในประเทศญี่ปุ่นที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก หรือในสถานการณ์ที่ไฮบริดถูกขับขี่ในสภาวะที่เอื้อต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด เช่น การขับขี่ในเมืองที่มีการเบรกและชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้ง
ไม่ได้หมายความว่ารถไฮบริดและ Plug-in Hybrid (PHEV) ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม รถไฮบริดสมัยใหม่ยังคงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้ EV เต็มตัว และ PHEV หากได้รับการชาร์จอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ในระยะทางที่ไกลพอสมควรสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน พวกมันยังคงดีกว่ารถยนต์สันดาปล้วนๆ ทั้งในด้านการประหยัดน้ำมันและการลดการปล่อยมลพิษ
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นเหนือกว่าทั้งในด้านประสิทธิภาพ, การปล่อยมลพิษ, และความยั่งยืนโดยรวม ยิ่งโลกเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเท่าไหร่ EV ก็ยิ่งสะอาดขึ้นเท่านั้น รวมถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ ที่ลดการใช้แร่หายากและลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิต ซึ่งจะทำให้ EV ในอนาคต "สะอาด" ตั้งแต่แรกเริ่มจากโรงงาน
ไม่ใช่ว่า Hybrid และ PHEV ไม่ดี—แต่ในระยะยาว ถ้าโลกต้องการลดคาร์บอนให้ถึงศูนย์จริง ๆ รถไฟฟ้าคือคำตอบที่มีศักยภาพมากที่สุดในตอนนี้
ที่มา: insideevs.com

The electric car manufacturing process may actually be the source of pollution, as the Toyota CEO says. Flicking Soccer
This page contains information that I find to be helpful, so I have added it to my bookmarks. The excellence of the articles and how they are presented has left me feeling quite satisfied. A tremendous amount of gratitude is extended for the preservation of such wonderful things. Thank you very much for providing me with this website poppy playtime.