เราจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง
หัวข้อที่คุณอาจคิดว่ามีประโยชน์
Share a car
รายละเอียดการแชร์รถผ่านแพลตฟอร์มฮ้อปคาร์
53Getting paid
Let us help you on how to get paid
0Revenue Sharing
Welcome! Have a look around and join the conversations.
0Partner Tips & Tutorial
Welcome! Have a look around and join the conversations.
2HAUP Around
เรื่องราวน่ารูปที่ฮ้อปอยากแชร์ต่อ เรื่องเที่ยวที่น่าสนใจและเคล็ดลับเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดที่คัดสรรมาเพื่อคุณ
187HAUP Travel เที่ยวกันกับฮ้อป
คัดสรรสถานที่น่าเที่ยวทั่วไทยให้คุณ พร้อมบริการรถเช่าจากฮ้อปที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การเดินทาง
62HAUP Life Hack
ค้นพบเคล็ดลับและวิธีการใช้ชีวิตที่สร้างสรรค์ เพื่อยกระดับและเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวันของคุณ ทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น
42Partner knowledge center
แหล่งข้อมูลสำหรับ HAUP พาร์ทเนอร์
10Get Activity
Discover unique experience, get your favorite activities, and share your exclusive moments with us. Let's have fun!
3Tips & Tutorials
จองรถอย่างไรให้คุ้ม, ทำอย่างไรเมื่อเกิดปัญหา
43Car
บริการเช่ารถยนต์ทั่วไป และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV)
21Micro-Mobi
บริการแชร์ริ่งประเภท 2 ล้อ; สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า (E-Scooter), จักรยานไฟฟ้า (E-Bike), มอเตอร์ไซค์ไฮบริด (Motor Hybrid)
5EV Charging
บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
6Rent a car
สถานที่รับรถและการใช้รถต่างๆ
498Pricing
HAUP เปิดโอกาสให้ได้เลือกรถรุ่นต่าง ๆ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ จัดสรรให้เข้ากับทุกกิจกรรม
6HAUP Promotion
ฮ้อปคาร์แชร์ริ่ง เช่ารถง่ายในราคาสุดคุ้ม พร้อมโปรโมชันเด็ด ๆ ที่ฮ้อปจัดให้พิเศษเพื่อคุณ
39Station Location
Where can I find Haup service.
433Innovation
Space for discovering the world of innovation พื้นที่เรียนรู้และสำรวจโลกแห่งนวัตกรรม
19
- Innovation“EV คันหนึ่ง ปล่อยมลพิษเท่ากับ Hybrid สามคัน” คำกล่าวจาก อากิโอะ โตโยดะ (Akio Toyoda) สะท้อนความจริง หรือแค่มุมมอง? ในบทสัมภาษณ์ที่กลายเป็นไวรัลเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาของ อากิโอะ โตโยดะ (Akio Toyoda) ประธานบริษัท Toyota ได้ให้สัมภาษณ์กับ Automotive News ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า 9 ล้านคัน มีผลกระทบด้านคาร์บอนเทียบเท่ากับรถไฮบริด 27 ล้านคัน” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ EV 1 คัน = Hybrid 3 คันในแง่การปล่อยมลพิษ นั่นได้สร้างความฮือฮาและจุดประเด็นถกเถียงขึ้นมาอีกครั้งบนหน้าสื่อ แต่เมื่อถอดรหัสจากคำพูดของเขาให้ชัดเจน สิ่งที่อากิโอะ โตโยดะ กล่าวดูจะอิงกับบริบทในญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่อง “แหล่งพลังงานไฟฟ้า” ที่ยังพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังความร้อน (ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่า หากไฟฟ้ามาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การชาร์จ EV ก็เท่ากับการโยนมลพิษจากท่อไอเสียไปสู่โรงไฟฟ้าแทน "หนี้คาร์บอน" จุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิด สิ่งที่มักถูกนำมาโต้แย้งเกี่ยวกับ EV คือ การปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขุดเจาะ, การกลั่น, และการแปรรูปวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่แรงดันสูง เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรน้ำมากและอาจก่อให้เกิดมลพิษได้ รถไฟฟ้า “สกปรกกว่า” ในวันแรก แต่สะอาดกว่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวเท่านั้น เมื่อ EV เริ่มออกวิ่งบนท้องถนน พวกมันก็เริ่ม "ชดใช้หนี้คาร์บอน" ของตัวเองทันที ในขณะที่รถไฮบริดและรถยนต์สันดาปจะสะสมการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน งานวิจัยจาก Argonne National Laboratory ปี 2023 ระบุว่า EV สามารถชดเชยการปล่อยมลพิษจากการผลิตได้ในระยะทางประมาณ 19,500 ไมล์ (ประมาณ 31,381 กิโลเมตร) ซึ่งน้อยกว่าสองปีของการขับขี่โดยทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ขณะที่งานวิจัยในวารสาร Nature ระบุตัวเลขที่สูงกว่าเล็กน้อยคือประมาณ 28,000 ไมล์ (ประมาณ 45,061 กิโลเมตร) ไม่ว่าจะตัวเลขไหนก็ตาม เมื่อพิจารณาจากอายุการใช้งานรถยนต์โดยเฉลี่ย EV ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่สะอาดกว่าในระยะยาว EV vs Hybrid: ใครสะอาดกว่ากัน ขึ้นอยู่กับ “ไฟ” ที่คุณใช้ ข้อโต้แย้งอีกประการที่มักถูกหยิบยกมาคือ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จ EV หากไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้งาน EV ก็อาจไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่อากิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัท Toyota กล่าวถึงโดยเฉพาะในบริบทของญี่ปุ่นที่ยังพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน หากคุณชาร์จรถไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าที่พึ่งพาถ่านหิน (เช่น West Virginia หรือบางส่วนของญี่ปุ่น) มลพิษโดยรวมอาจใกล้เคียงกับไฮบริด แต่หากคุณอยู่ในรัฐอย่าง California ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนสูง EV จะปล่อย CO2 ต่อไมล์น้อยกว่าไฮบริดอย่างชัดเจน และแม้แต่ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด คือการใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งที่สกปรกมาก รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงปล่อยมลพิษน้อยกว่าไฮบริดอย่างเห็นได้ชัด จากการคำนวณของ Department of Energy สหรัฐอเมริกา: ตัวอย่างจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ชี้ว่า: • Tesla Model Y ที่ขับในรัฐ West Virginia (ซึ่งพึ่งพาถ่านหินเป็นหลัก) ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 149 กรัม CO2 ต่อไมล์ • Toyota Prius Plug-In Hybrid ปล่อย 177 กรัม CO2 ต่อไมล์ และหากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งพลังงานสะอาดกว่า เช่น California, Tesla Model Y จะปล่อยเพียง 80 กรัม CO2 ต่อไมล์ ในขณะที่ Prius Plug-In Hybrid ปล่อย 130 กรัม CO2 ต่อไมล์ (และนี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการชาร์จแบตเตอรี่ของ PHEV ที่มักไม่สม่ำเสมอ) ประสิทธิภาพพลังงาน: EV ชนะขาด นอกจากเรื่องการผลิตและการใช้ไฟฟ้าแล้ว ยังมีปัจจัยด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานอีกด้วย ในแง่การใช้พลังงาน EV มีประสิทธิภาพสูงกว่ารถน้ำมันอย่างมาก: • รถสันดาปภายในแปลงพลังงานน้ำมันมาใช้งานได้แค่ 20–40% • รถไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปสู่ล้อได้มากกว่า 90% นอกจากนี้ ในอนาคต การรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการขุดเจาะแร่ธาตุใหม่ๆ ได้อย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน Hybrid ไม่ใช่ศัตรู EV ไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ “EV คือเส้นทางสู่อนาคตที่สะอาดกว่า” คำพูดของประธานโตโยต้าอาจสะท้อนมุมมองที่เน้นการลดมลพิษในบริบทของญี่ปุ่น ซึ่งระบบไฟฟ้ายังใช้พลังงานฟอสซิลอยู่มาก แต่เมื่อมองในระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น EV ยังเป็นตัวเลือกที่สะอาดกว่าในภาพรวม ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและงานวิจัยเชิงลึกทั้งหมด คำกล่าวของอากิโอะ โตโยดะ อาจหมายถึงการอ้างอิงข้อมูลชุดเฉพาะที่ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยทั้งหมด หรืออาจเน้นไปที่การผลิตในประเทศญี่ปุ่นที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก หรือในสถานการณ์ที่ไฮบริดถูกขับขี่ในสภาวะที่เอื้อต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด เช่น การขับขี่ในเมืองที่มีการเบรกและชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้ง ไม่ได้หมายความว่ารถไฮบริดและ Plug-in Hybrid (PHEV) ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม รถไฮบริดสมัยใหม่ยังคงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้ EV เต็มตัว และ PHEV หากได้รับการชาร์จอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ในระยะทางที่ไกลพอสมควรสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน พวกมันยังคงดีกว่ารถยนต์สันดาปล้วนๆ ทั้งในด้านการประหยัดน้ำมันและการลดการปล่อยมลพิษ อย่างไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นเหนือกว่าทั้งในด้านประสิทธิภาพ, การปล่อยมลพิษ, และความยั่งยืนโดยรวม ยิ่งโลกเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเท่าไหร่ EV ก็ยิ่งสะอาดขึ้นเท่านั้น รวมถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ ที่ลดการใช้แร่หายากและลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิต ซึ่งจะทำให้ EV ในอนาคต "สะอาด" ตั้งแต่แรกเริ่มจากโรงงาน ไม่ใช่ว่า Hybrid และ PHEV ไม่ดี—แต่ในระยะยาว ถ้าโลกต้องการลดคาร์บอนให้ถึงศูนย์จริง ๆ รถไฟฟ้าคือคำตอบที่มีศักยภาพมากที่สุดในตอนนี้ ที่มา: insideevs.com Book now https://reserve.haupcar.com
- Innovationในที่สุด Tesla ก็ได้ฤกษ์ประกาศวันเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการสำหรับบริการ Robotaxi ที่หลายคนรอคอย และนั่นยังไม่รวมถึงเซอร์ไพรส์ที่อาจพลิกโฉมวงการขนส่งอย่าง "Automated Delivery" หรือการส่งมอบรถยนต์ถึงหน้าบ้านแบบไร้คนขับ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Elon Musk ที่จะเข้ามาเปลี่ยนภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ Robotaxi: ปฐมบทแห่งการเดินทางไร้คนขับ หลังจากที่ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla เคยออกมาพูดถึงบริการ Robotaxi อยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดเขาก็ได้ระบุวันเปิดตัวโครงการนำร่องบริการ Tesla Robotaxi ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส อย่างไม่เป็นทางการ นั่นก็คือ วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนนี้ ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ Tesla เคยตั้งเป้าไว้ตั้งแต่การประกาศผลประกอบการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ว่ากำหนดการของ Elon Musk จะขึ้นชื่อเรื่องเปลี่ยนไปมาอยู่เสมอ แต่การที่เมืองออสตินได้ให้การรับรอง Tesla ในฐานะผู้ให้บริการยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างเป็นทางการ ก็แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม Elon Musk ได้ย้ำว่า "เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างยิ่งยวด ดังนั้น วันที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้" ซึ่งหมายความว่า หาก Tesla พบว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับปรุงระบบให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็อาจมีการเลื่อนกำหนดออกไปได้ เบื้องต้น Tesla จะมุ่งเน้นการเปิดให้บริการในพื้นที่จำกัด (geofenced area) ของเมืองออสตินก่อน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงของ Tesla ยอมรับว่า บริการนี้ยังคงตามหลังคู่แข่งอย่าง Waymo อยู่หลายปี ปัจจุบัน Tesla ได้เริ่มทดสอบโครงการนำร่องนี้กับพนักงานภายในองค์กรแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีผู้พบเห็นรถ Robotaxi ไร้คนขับของ Tesla วิ่งอยู่บนถนนเป็นครั้งแรก Automated Delivery: การส่งมอบรถยนต์ยุคใหม่ถึงหน้าประตูบ้าน นอกเหนือจาก Robotaxi แล้ว Elon Musk ยังได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ แผนการส่งมอบรถยนต์ Tesla แบบไร้คนขับเต็มรูปแบบจากโรงงานถึงหน้าประตูบ้านลูกค้าเป็นครั้งแรก ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ นี่ถือเป็นข่าวที่ "เหนือความคาดหมาย" อย่างแท้จริง ในอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนอย่างสูงสุด การที่ Tesla เตรียมพร้อมที่จะทำให้ศูนย์ส่งมอบรถยนต์หมดความจำเป็น นั่นหมายถึงการที่รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนออกจากสายการผลิตและตรงไปยังหน้าประตูบ้านของลูกค้าได้เอง โดยรถจะเคลื่อนที่จากโรงงานไปยังบ้านของลูกค้าเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนขับ ไม่ต้องมีรถขนส่ง และไม่ต้องเซ็นเอกสารใด ๆ แม้แนวคิดนี้จะฟังดูเหมือนหลุดมาจากโลกไซไฟที่ขับเคลื่อนกลับบ้านได้เอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก แต่ในฐานะคอลัมนิสต์ที่ติดตามวงการยานยนต์มานาน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า Tesla จะจัดการกับข้อผูกพันและความรับผิดชอบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งมอบรูปแบบนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตามความท้าทายเรื่องคุณภาพรถในวันส่งมอบ และความเสียหายระหว่างทางยังคงเป็นคำถามสำคัญที่ Tesla ต้องตอบให้ได้ อนาคตที่น่าจับตาของ Tesla ในช่วงเดือนนี้ Tesla ยังมีกำหนดการเปิดตัวรถยนต์ราคาประหยัดอีกด้วย แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ก็อาจเป็นเพราะถูกบดบังด้วยข่าวใหญ่ของ Robotaxi และ Automated Delivery ที่กำลังเป็นที่จับตา แม้จะยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ หรือปัญหาทางกฎหมาย แต่การเคลื่อนไหวของ Tesla ครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดว่าโลกของยานยนต์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่อย่างรวดเร็ว และไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ คำว่า “รถไร้คนขับ” อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการสั่งอาหารผ่านแอปก็เป็นได้ ที่มา: insideevs.com
- Innovationในยุคที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังแข่งขันกันดุเดือด ทั้งในด้านนวัตกรรม ดีไซน์ และราคาที่เข้าถึงง่าย ล่าสุด Honda เตรียมเปิดตัวไพ่ใบใหม่ในกลุ่ม EV ราคาประหยัดกับ Honda Super EV Concept ที่มาพร้อมคาแรกเตอร์สุดล้ำสะดุดตา และอาจกลายเป็นโมเดลที่มาเขย่าวงการในอนาคตอันใกล้ Super EV Concept ขับผ่านสะพาน Westminster Bridge รถไฟฟ้ารุ่นเล็ก ดีไซน์แหวกแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ แม้รูปลักษณ์ของ Super EV Concept จะดู “funky” จนหลายคนต้องหันกลับมามอง แต่ Honda ยืนยันว่านี่คือรถที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ที่ "ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ Honda" อย่างแท้จริง โดยรถคันนี้จัดอยู่ในกลุ่ม A-Segment Electric SUV ที่มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง พร้อมคำสัญญาจาก Honda ว่าจะมอบความสนุกแบบ "uplifting, heart-pounding" หรือความเร้าใจที่เกินคาดจากรถขนาดเล็ก เตรียมเปิดตัวระดับโลกที่งาน Goodwood Festival of Speed 2025 Super EV Concept จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่งาน Goodwood Festival of Speed ณ ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 10 – 13 กรกฎาคม 2025 โดยจะได้โชว์ศักยภาพผ่านการวิ่งขึ้นเนินระยะทาง 1.16 ไมล์ (ราว 1.8 กิโลเมตร) ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแสดงนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก พัฒนาต่อจาก Honda e สู่รถไฟฟ้ารุ่นใหม่บนแพลตฟอร์มล้ำยุค ดีไซน์ของ Super EV Concept ให้กลิ่นอายของทายาทรุ่นถัดไปจาก Honda e แต่ปรับปรุงใหม่หมดทั้งแพลตฟอร์ม มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังสวมลายพรางสีม่วงแบบเดียวกับที่ใช้ใน 0 Series SUV ที่จะเปิดตัวในยุโรปเช่นกันในงานเดียวกันนี้ อีกก้าวของยุทธศาสตร์ EV ภายใต้ราคาเอื้อมถึง แม้ Honda ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานจาก Nikkei ระบุว่า Honda มีแผนจะวางจำหน่ายรถ EV รุ่นนี้ในราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับตลาดอเมริกา ซึ่งหากเป็นจริง จะเป็นหมากสำคัญในการช่วงชิงตลาดรถไฟฟ้าระดับ Entry-Level จากผู้ผลิตรายอื่น Honda Super EV Concept ขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา Honda Supr EV Concept คือภาพสะท้อนของแนวคิด “สนุกในการขับขี่” ที่อยู่ใน DNA ของ Honda แม้จะเป็นรถ EV ขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา แต่กลับไม่ลดทอนเรื่องดีไซน์และความตื่นเต้นในการใช้งาน นับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Honda เอาจริงกับการเข้าสู่ตลาดรถไฟฟ้าราคาประหยัด และพร้อมชนกับคู่แข่งในระดับโลกอย่างเต็มที่ ที่มา: electrek.co