{"items":["5e215aefcc7be6001756040a","5f505ef7fa7d5500173e1fd2","5f48dcbac7cee90017383856","5f06ca2eb6d2f00017d7497a","5e84326ccf4d98001742aad3","5e5394f91b7ae70017474932","5e4ce83426850f0017b3f735","5e0dc9cc8d08280017bee737","5dea2e2cf4cb550017c8b4e9","5ddf8cefded3660017fbda64"],"styles":{"galleryType":"Strips","groupSize":1,"showArrows":true,"cubeImages":true,"cubeType":"fill","cubeRatio":"100%/100%","isVertical":false,"gallerySize":30,"collageDensity":0.8,"groupTypes":"1","oneRow":true,"imageMargin":0,"galleryMargin":0,"scatter":0,"rotatingScatter":"","chooseBestGroup":true,"smartCrop":false,"hasThumbnails":false,"enableScroll":true,"isGrid":false,"isSlider":false,"isColumns":false,"isSlideshow":true,"cropOnlyFill":false,"fixedColumns":1,"enableInfiniteScroll":true,"isRTL":false,"minItemSize":120,"rotatingGroupTypes":"","rotatingCropRatios":"","columnWidths":"","gallerySliderImageRatio":1.7777777777777777,"numberOfImagesPerRow":3,"numberOfImagesPerCol":1,"groupsPerStrip":0,"borderRadius":0,"boxShadow":0,"gridStyle":0,"mobilePanorama":false,"placeGroupsLtr":false,"viewMode":"preview","thumbnailSpacings":4,"galleryThumbnailsAlignment":"bottom","isMasonry":false,"isAutoSlideshow":false,"slideshowLoop":false,"autoSlideshowInterval":1,"bottomInfoHeight":0,"titlePlacement":"SHOW_ON_HOVER","galleryTextAlign":"center","scrollSnap":true,"itemClick":"nothing","fullscreen":true,"videoPlay":"hover","scrollAnimation":"NO_EFFECT","slideAnimation":"SCROLL","scrollDirection":1,"scrollDuration":400,"overlayAnimation":"FADE_IN","arrowsPosition":0,"arrowsSize":18,"watermarkOpacity":40,"watermarkSize":40,"useWatermark":true,"watermarkDock":{"top":"auto","left":"auto","right":0,"bottom":0,"transform":"translate3d(0,0,0)"},"loadMoreAmount":"all","defaultShowInfoExpand":1,"allowLinkExpand":true,"expandInfoPosition":0,"allowFullscreenExpand":true,"fullscreenLoop":false,"galleryAlignExpand":"left","addToCartBorderWidth":1,"addToCartButtonText":"","slideshowInfoSize":230,"playButtonForAutoSlideShow":false,"allowSlideshowCounter":false,"hoveringBehaviour":"NEVER_SHOW","thumbnailSize":120,"magicLayoutSeed":1,"imageHoverAnimation":"NO_EFFECT","imagePlacementAnimation":"NO_EFFECT","calculateTextBoxWidthMode":"PERCENT","textBoxHeight":0,"textBoxWidth":200,"textBoxWidthPercent":50,"textImageSpace":10,"textBoxBorderRadius":0,"textBoxBorderWidth":0,"loadMoreButtonText":"","loadMoreButtonBorderWidth":1,"loadMoreButtonBorderRadius":0,"imageInfoType":"ATTACHED_BACKGROUND","itemBorderWidth":0,"itemBorderRadius":0,"itemEnableShadow":false,"itemShadowBlur":20,"itemShadowDirection":135,"itemShadowSize":10,"imageLoadingMode":"BLUR","expandAnimation":"NO_EFFECT","imageQuality":90,"usmToggle":false,"usm_a":0,"usm_r":0,"usm_t":0,"videoSound":false,"videoSpeed":"1","videoLoop":true,"jsonStyleParams":"","gallerySizeType":"px","gallerySizePx":231,"allowTitle":true,"allowContextMenu":true,"textsHorizontalPadding":-30,"showVideoPlayButton":true,"galleryLayout":5,"targetItemSize":231,"selectedLayout":"5|bottom|1|fill|false|1|true","layoutsVersion":2,"selectedLayoutV2":5,"isSlideshowFont":true,"externalInfoHeight":0,"externalInfoWidth":0},"container":{"width":231,"height":360,"galleryWidth":231,"galleryHeight":129,"scrollBase":0}}

คนไทยเราจำเป็นต้องใช้รถกันตลอดเวลาไหม? .. คงไม่ใช่ ดังนั้น “คาร์แชริ่ง” น่าจะเป็นทางเลือกที่ลงตัว ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ใครหลายๆคนไม่จำเป็นต้องซื้อรถ ทั้งเป็นการเซฟพลังงานและช่วยโลกลดมลพิษได้อีกด้วย
จากไอเดียนี้ ธนวัฒน์ (เปอร์) และ กฤษฏิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ (โบ้) สองพี่น้องเลยตัดสินใจพัฒนาแพลตฟอร์มคาร์แชริ่งที่ชื่อว่า “haup” (ฮ้อปคาร์)
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะคาร์แชริ่งมีบริการทั่วไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว พวกเขาทั้งสองคนซึ่งเดินทางไปร่ำเรียนที่ประเทศอเมริกาตั้งแต่ยังเด็กก็ได้เห็นและเคยทดลองใช้มาก่อน ตรงกันข้ามที่ประเทศไทย นั้นธุรกิจรูปแบบนี้ยังไปได้ไม่ถึงไหน
พวกเขาตกลงใจเปิดตัวฮ้อปคาร์ในเดือนสิงหาคมปี 2559 เพราะเชื่อว่าเป็นจังหวะเวลาที่ดี เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลไทยเร่งการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าหลายสายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนซื้อรถส่วนตัวน้อยลง และคาร์แชริ่งก็จะมาเติมเต็มความต้องการในการเดินทางได้เป็นอย่างดี "ความเป็นจริง ธุรกิจของเราก็ยังอยากให้คนใช้รถอยู่ แต่ให้มาแบ่งกันใช้ โดยเราจะมีรถอยู่ในระบบที่ให้คนสามารถเข้ามาแชร์ มาแบ่งกันใช้ได้ เราต้องมีรถที่ดี มีบริการที่ดีให้กับลูกค้า เหมือนเป็นการสร้างคลับหรือคอมมูนิตี้หนึ่งขึ้นมาเพื่อให้คนมาแบ่งรถกันใช้ โดยต้องทำให้คนเข้าถึงบริการได้ง่าย มอบประสบการณ์ที่ดีๆให้เขา เพื่อที่จะทำให้รถบนท้องถนนมันหายไปบ้าง"
และต้องบอกว่ารถที่ให้บริการทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน 10 คันล้วนเป็นของฮ้อปคาร์ทั้งสิ้น และทั้งหมดเป็น “อีโคคาร์” เพื่อให้สอดคล้องกับความตั้งใจที่อยากมุ่งเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน แถมอีโคคาร์ก็ยังเป็นรถที่อยู่ในความสนใจของลูกค้าอีกด้วย
เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงเริ่มต้นจะมีอยู่สามกลุ่ม ก็คือ 1.นักศึกษามหาวิทยาลัย 2.กลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบ กำลังจะเริ่มทำงาน 3. ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่หรือทำงานในเมืองไทย เริ่มจาก “บีทูซี” และในหมายเหตุจะโฟกัสกลุ่มนักศึกษาเป็นพิเศษ จากนั้นจะขยับไปสู่กลุ่มลูกค้าธุรกิจหรือ “บีทูบี”
"เราเริ่มเปิดบริการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตเป็นแห่งแรก เพราะส่วนตัวพวกเราก็เคยผ่านชีวิตตรงจุดนั้นมาก่อน รู้ว่าเด็กพอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็อยากมีรถ เพราะการเดินทางลำบาก แต่พ่อแม่ก็อาจบอกว่าเดี๋ยวก่อนไม่ยอมซื้อให้ และที่มาเริ่มต้นที่เด็กก็เพราะเราอยากจะปลูกฝังพวกเขาว่าการซื้อรถนั้นไม่จำเป็น เพราะคาร์แชริ่งช่วยทำให้เขามีรถขับได้"
จากที่เปิดบริการมาเป็นเวลา 5-6 เดือน ปัจจุบัน ฮ้อปคาร์มีสมาชิกอยู่กว่า 300คน และชั่วโมงการใช้บริการของสมาชิกโดยเฉพาะเด็กมหาวิทยาลัยนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า ซึ่งเป็นการพิสูจน์สมมุติฐานความเป็นไปได้ที่ชัดขึ้น
"พวกเรายังอยู่ในจุดเริ่ม อย่างน้อยเราต้องทำให้ครบปีถึงจะมีข้อมูลการใช้งานที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยก็มีบางช่วงที่เปิดเทอม ปิดเทอมด้วย เรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาว่า ลูกค้ามาใช้บริการเป็นเพราะอะไร รวมถึงต้องหาทางปิดแก็บ โดยพยายามพูดคุยกับลูกค้าที่เป็นสมาชิกในเรื่องของการใช้งานอยู่เรื่อยๆ คอยถามเขาว่าทำไมถึงใช้งานช่วงนี้ ไม่ใช้ช่วงนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร"
ที่พวกเขาพยายามเรียนรู้อย่างมากในเวลานี้เป็นเรื่องของกลยุทธ์การเลือกโลเคชั่น ซึ่งต้องมีการทดลองและอาศัยระยะเวลา คือถ้าหากเวิร์คก็ทำต่อ แต่ถ้าไม่ก็จะหยุดทำ ที่เทสต์ไปแล้วและผ่านฉลุยก็คือ ทำเลที่เป็นมหาวิทยาลัย ซึ่งนำมาซึ่งแผนที่ว่าฮ้อปคาร์จะขยายไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ชานเมืองมากยิ่งขึ้น (นอกจากธรรมศาสตร์ รังสิต ยังเปิดบริการแล้วที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี)
"แต่เราก็คาดการณ์ผิดไปบ้างคือคิดว่าเด็กมหาวิทยาลัยน่าจะมาใช้บริการเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่เขาไม่มีรถ แต่ที่ได้พบก็คือ เด็กไม่มีเงิน เขาได้เงินจากพ่อแม่เป็นรายเดือน ทำให้เวลาใช้บริการแต่ละทีเขาจะมากันเป็นกลุ่มอย่างน้อยก็ 3 คนเพื่อแชร์ค่าใช้จ่ายกัน ทำให้เราต้องกลับมาคิดค่าบริการใหม่เพื่อให้แฟร์กับพวกเขา เรื่องราคาเราคงจะปรับไปเรื่อยๆ แต่คงไม่บ่อยมากเดี๋ยวสมาชิกเราจะงง"
ยังมีปัญหาเหนือความคาดหมายอีกหลายเรื่อง เช่น การที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ชอบดูรายละเอียดการบริการด้วยตัวเอง ซึ่งมีอยู่ครบถ้วนบนออนไลน์ ทั้งในเว็บไซต์ หรือบนเฟสบุ๊ค แต่นิยมโทรศัพท์หรือไลน์มาถาม โดยปริยายพวกเขาทั้งสองคนก็ต้องทำหน้าที่เป็นคัสโตเมอร์เซอร์วิสคอยตอบคำถามด้วยตัวเอง
“เอาเข้าจริงลูกค้าอยากคุยกับเรา พวกเราเลยต้องรับโทรศัพท์หรือตอบไลน์กันเอง แต่เราก็อยากทำเพราะต้องการคอนแท็กกับลูกค้า มันเป็นการสร้างความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าให้กับเรา เพื่อที่จะนำเอาไปพัฒนาต่อ”
ลูกค้ามักจะถามข้อมูลเกี่ยวกับอะไร? พวกเขาบอกว่าที่ถูกถามเยอะที่สุดก็คือ ราคาและวิธีการใช้รถ แต่มีลูกค้าบางคนที่ไม่คุ้นชินกับการใช้แอพและอยากรู้วิธีซึ่งพอทำได้แล้วครั้งต่อไปเขาก็จะไม่ถามอีก
"แต่มีเรื่องเพย์เมนท์ ที่เรามองว่าแปลกมาก เพราะคิดมาตลอดว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะชินกับการจ่ายเงินออนไลน์ แต่ปรากฏว่าเด็กจ่ายเป็นเงินสด ซึ่งสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาพวกผมแทบไม่ถือเงินสดเลยในกระเป๋ามีแต่บัตร แต่พอมาเมืองไทยเราใช้บัตรได้ยากมาก ร้านต่างๆมักจะรับแต่เงินสด มันเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของเรา แต่ถ้าเรามีการสอนลูกค้าทำในครั้งแรกได้ครั้งต่อไปก็จะไม่มีปัญหา แต่ลูกค้าก็อาจกังวลว่าถ้าเขาเอาบัตรเครดิตมาผูกกับระบบเราแล้วจะเซฟไหม เราก็ต้องทำให้เขามั่นใจด้วยการใช้ระบบของโอมิเซะ (Omise)"
อย่างไรก็ดี แม้จะมั่นใจโลเคชั่นมหาวิทยาลัย แต่พวกเขาก็ยอมรับว่ายังไม่ชัวร์กับทำเลที่ต้องการจะตอบโจทย์ลูกค้าวัยเริ่มทำงานรวมถึงคนต่างชาติ ที่เป็นจุดจอดในอาคารสำนักงาน รวมถึงคอนโดมีเนียมที่ตั้งอยู่กลางเมืองบริเวณซอยอารีย์, สี่แยกอโศก,ถนนสาทร ,ถนนสีลมและแถวสะพานกรุงธนฯ จำนวน 5 จุด และน่าจะต้องอาศัยเวลาอีกสามถึงสี่เดือนเพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเวิร์คหรือไม่อย่างไร เพื่อกำหนดกลยุทธ์ให้แน่ชัดว่าควรจะทำต่อกับตลาดนี้ดีหรือไม่
นอกจากนี้ยังมองในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะช่วยประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่แน่ว่า นอกจากอีโคคาร์แล้ว ในอนาคตอันใกล้ฮ้อปคาร์ก็อาจนำเอารถไฟฟ้ามาให้บริการด้วยก็เป็นได้ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้เข้าร่วมในโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบคาร์แชริ่งสำหรับประเทศไทยในอนาคต (Electric car sharing) ร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ชไนเดอร์อีเล็คทริค (ไทยแลนด์)
"เราถือว่าเป็นรายแรกที่ทำคาร์แชริ่งในเมืองไทย ตอนนี้เราจึงพยายามจะเช็ทสแตนดาร์ดขึ้นมาก่อน แต่พวกเราเองเคยมีประสบการณ์ใช้บริการคาร์แชริ่งมาก่อน และได้ไปศึกษาอีกหลายๆแห่งว่าเขาทำกันอย่างไร จึงสามารถลดปริมาณรถลงได้ ที่เมืองนอกเขาพรูฟได้ว่ารถคาร์แชริ่งหนึ่งคันสามารถลดจำนวนรถในถนนลงได้ถึง 8-30 คัน ขึ้นอยู่กับสเกลของแต่ละเมือง ซึ่งเป็นอะไรที่เราอยากพรูฟและทำได้แบบเขาเหมือนกัน"
แน่นอนว่าต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุด แต่ก็มีความมั่นใจว่ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำได้ดีก็คือ ที่ผ่านมาเมื่อได้เรียนรู้ว่าลูกค้ามีความต้องการอะไร พวกเขาพร้อมและปรับเปลี่ยนได้เร็ว เรียกว่าพร้อมจะเทคแอคชั่นทันที
ชีวิตดี๊ดีของคนไม่มีรถ
วันนี้คุณอยากไปไหน ไปดูหนัง รับเพื่อน ไปดูคอนเสิร์ต เที่ยวเดย์ทริป ไปเดทกับแฟน ไปประชุม ซื้อของซูเปอร์ฯ ไปนั่งร้านคาเฟ่เก๋ๆ ไปดูงานอาร์ต ไปหาหมอ ไปตลาดนัดสุดสัปดาห์ ไปทานมื้อดึกับเพื่อน หรือจะไปเตะบอล ฯลฯ ก็จะได้ไปแน่ๆด้วยรถของฮ้อปคาร์
คอนเซ็ปต์ของ “ฮ้อปคาร์” ก็คือให้ลูกค้าจ่ายเงินตามเวลาที่จองขับซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 30 นาที ไปจนถึง 1 วัน เป็นรายชั่วโมง เริ่มต้นเพียง 49 บาทต่อครึ่งชั่วโมง + 5.5 บาทต่อกิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรายวัน เริ่มต้นเพียง 1,300 บาท ฟรี 100 กิโลเมตรแรกและจ่ายตามระยะทางที่ขับ ซึ่งราคาที่คิดจะรวมทั้งค่าน้ำมัน ประกัน การดูแลรักษา และที่จอดรถ จะเดินทางพรุ่งนี้ หรือ ต้องการใช้ตอนนี้ ลูกค้าสามารถจองรถก่อนใช้งานเป็นเวลา 15 นาที และการเดินทางด้วยฮ้อปคาร์ทำได้ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. จองผ่านแอพ โดยเลือกจุดจอดที่อยู่ใกล้ และเลือกเวลาที่ต้องการใช้ และยืนยันการจอง 2.เข้ารถ ถึงเวลาเดินทาง เปิดปิดประตู ผ่านแอพ หรือใช้บัตรฮ้อปคาร์แตะไปที่รถ 3.ขับรถไปยังจุดหมายปลายทาง และนำรถกลับมาคืนตรงจุดจอดที่เดิม
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/735717